วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ซักซ้อมในจินตนาการ

จิตวิวัฒน์กับสมองส่วนหน้า


เดี๋ยวนี้ งานวิจัยสมองได้พัฒนาไปมาก เร็ว ๆ นี้ผมได้อ่านหนังสือ Evolve Your Brain: The Science of Changing Your Mind ของ Joe Dispenza หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์กระบวนทัศน์ใหม่ ที่อยู่ในทีมทำภาพยนตร์ชื่อ What the Bleep do We Know? ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ทำให้เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายกับจิตใจ อย่างใหม่ หรืออย่างเป็นวิทยาศาสตร์กระบวนทัศน์ใหม่ ตอนนี้ พวกเราในเครือข่ายจิตวิวัฒน์กำลังแปลหนังสือ ชื่อเดียวกันนี้ ที่อธิบายเรื่องราวในภาพยนตร์อย่างละเอียดออกมา เพื่อเป็นเกียรติ ให้คนไทยผู้หนึ่ง ที่ทำงานด้านการนำความรู้วิทยาศาสตร์กระบวนทัศน์ใหม่เข้ามาในสังคมไทยมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน เป็นเรื่องเป็นราว เป็นจริงเป็นจังที่สุดท่านหนึ่ง และท่านผู้นี้ก็อยู่ในทีมผู้ก่อตั้งกลุ่มจิตวิวัฒน์ในประเทศไทยด้วย ท่านคือ คุณหมอประสาน ต่างใจ หลายคนที่อยู่ในทีมแปลนี้ ก็นับถือท่านเป็นพ่อทางจิตวิญญาณ และผมเองก็ถือว่า เป็นลูกเขยของท่าน เพราะคนใกล้ชิดของผมก็คือลูกสาวทางจิตวิญญาณคนหนึ่งของท่าน


เรื่อง Mental Rehearsal หรือการซักซ้อมทางจินตนาการนี้ อยู่ในบทที่สิบเอ็ดและสิบสองของหนังสือ Evolve Your Brain ของโจ ดีสเปนซ่า เป็นเรื่องราวการทำงานของสมองส่วนหน้า ที่ถูกคลี่คลายความรู้ความเข้าใจมาตามลำดับ สมองส่วนหน้านี้เป็นวิวัฒนาการชั้นหลังที่สุดของสมองมนุษย์ สมองส่วนหน้านี้ มีในลิงด้วย แต่พัฒนาการสูงสุดในมนุษย์ ซึ่งมีดีเอนเอต่างจากลิงเพียงสองเปอร์เซนต์เท่านั้น


สมองส่วนหน้าจะเติบโตสมบูรณ์เมื่อเราอายุครบบวช คืออายุยี่สิบ ที่ตั้งของมันคือตาที่สาม เมื่อเปิดตาที่สาม สติปัญญาของมนุษย์จึงจะสมบูรณ์ การคิดด้วยสมองส่วนหน้าจึงต่างจากการคิดด้วยสมองซีกซ้ายที่เรารู้จักกันดี และให้ความสำคัญมานาน นั่นคือ การคิดในกระบวนการของเหตุผล หรือ การคิดแบบเรขาคณิตของเปลโต้ อุดมคติของเปลโต้คงอยากจะให้โลกลงตัว ดุจเดียวกับที่เทวดาที่ทำเรขาคณิตกันเป็นงานอดิเรกบนสวรรค์ แต่ปัญญาปฏิบัติกำลังจะกลับมาพร้อมวิทยาศาสตร์กระบวนทัศน์ใหม่ และการค้นพบบทบาทที่ชัดเจนขึ้นของสมองส่วนหน้า หรือ frontal lobe แนวปรัชญาแบบอริสโตเติล และวิทยาศาสตร์ของเกอเธ จะกลับมาเด่นเป็นสง่าอีกครั้งหนึ่ง อย่างแน่นอน


สมองส่วนหน้า เติบโตหลังสุด ช้าสุด เพราะได้เชื่อมโยงสมองส่วนต่าง ๆ ชั้นต่าง ๆ (สมองมีสามชั้น คือ สมองสัตว์เลื้อยคลาน สมองสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และสมองมนุษย์ หรือลิงชั้นสูงเข้าด้วยกัน ทำหน้าที่เป็นผู้กำกับการ เหมือนกับผู้กำกับการวงดนตรีออเครสต้า อย่างนั้น


โจ ดีสเปนซ่าและโจเซฟ ชิลตัน เพียซพูดไว้เหมือนกันว่า เวลาสมองส่วนหน้าทำงาน มันจะตัดขาดออกจาก การบัญชาการของสมองส่วนล่าง ๆ คือ อารมณ์ความรู้สึก และร่างกาย หรือสมองสัตว์เลื้อยคลาน สมองส่วนล่างทั้งสองนี้ ออกจะมาเป็นทรราช เมื่อเราปล่อยตัวปล่อยใจ ไปกับชีวิต และไม่ได้กุมบังเหียนชีวิตด้วยสมองส่วนหน้าอีกต่อไป ความเป็นทรราชของสมองชั้นกลางและชั้นล่างหรือชั้นในสุดนั้นเป็ฯเรื่องราวที่น่าสนใจมาก และคงอาจจะต้องเขียนเป็นอีกหนึ่งบทความออกไป โจ ดีสเปนซ่า เขียนถอดรหัส การเสพติดทั้งหลายของมนุษย์ว่า เกิดขึ้นได้อย่างไร ในทางกลับกัน สมองส่วนหน้านี่เองจะเป็นตัวถอดสลัก การเสพติดทั้งหลายในชีวิตมนุษย์ ให้หลุดออกมาจากการย้ำทำย้ำคิดได้ ด้วยกระบวนการที่เรียกว่า การซักซ้อมในจินตนาการ หรือ Mental Rehearsal


เดวิด เดวิดสัน แห่งมหาวิทยาลัยวิสคอนซิล หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่ทำการศึกษาสมองกับเรื่องราวของอารมณ์ความรู้สึก อีกทั้งยังเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานอย่างใกล้ชิดกับสมเด็จองค์ทะไลลามะ ได้ค้นพบในงานวิจัยว่า สมองส่วนหน้ากับอมิกดาลา ทำงานอย่างเป็นปฏิภาคกัน แปลความว่า เมื่อสมองส่วนหน้าทำงาน อมิกดาลาจะหยุดทำงาน เมื่ออมิกดาลาทำงาน สมองส่วนหน้าก็จะหยุดทำงาน


อมิกดาลาในที่นี้คือการทำงานของอารมณ์ลบ ที่ถูกบันทึกไว้อย่างเป็นอ้ตโนมัติ คือมันจะทำงานอย่างเป็นอัตโนมัติ โจเซฟ ชิลตัน เพียซเขียนไว้ว่า เวลาเราเข้าสู่ ความตื่นตระหนก ความกลัว หรืออาการปกป้องตนเอง เราจะถูกล็อคโดยสมองส่วนล่าง คือ ความกลัวของสมองชั้นต้น อารมณ์ลบของอมิกดาลา และความฉลาดอย่างขี้โกงของสมองซีกซ้าย แบบแคบ ๆ (คือไม่มองให้รอบด้าน แต่จะคิดเห็นเฉพาะประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น หรือ ก็คือ I in Me ในทฤษฏีตัวยู ของออตโต ชามเมอร์-หนึ่งในทีมองค์กรแห่งการเรียนรู้ของปีเตอร์ เซงเก)


ในทางกลับกัน เมื่อสมองส่วนหน้าทำงาน อมิกดาลาก็จะหยุดการทำงานคือยุติวงจรลบ ๆ ที่เป็นอัตโนมัติของตัวเอง ไปด้วยในตัว


เพื่อเติมประโยชน์ในการปฏิบัติได้ให้แก่บทความบทนี้ ที่จำกัดด้วยความสั้น ที่มันเป็นบทความหนังสือพิมพ์ (เดี๋ยวนี้เวลาเขียนหนังสือ ผมจะเขียนเป็นเล่มไปเลย ไม่ค่อยได้เขียนเป็นบทความ หรือไม่ก็เขียนเป็นบทความยาว ๆ ผมอยากพูดถึง สี่ขั้นตอนของการซักซ้อมทางจินตนาการเพื่อก่อประสบการณ์ใหม่ พฤติกรรมใหม่ หรือการสร้างโลกใบใหม่ให้กับตัวเอง


สี่ขั้นตอนนี้คือ หนึ่ง unconsciously unskilled คือบรรดาวงจรอัตโนมัติทั้งหลายที่เรามีอยู่ ขอให้สังเกตให้ดี เราจะพบว่า เราทำงานด้วยความเป็นอัตโนมัติ ระหว่าง ความคิด อารมณ์ความรู้สึก และร่างกายของเรา ทั้งหมดจะทำ คิด รู้สึกไปอย่างเป็นอัตโนมัติ ครึ่งหลับครึ่งตื่น เราไม่ได้ตื่นเต็มที่ ด้วยเหตุนี้ การปฏิบัติธรรมจึงพยายามทำให้เราตื่นขึ้นมาก่อน


ขั้นตอนนี้ ผมสรุปเป็นภาษาไทยว่า “ไม่รู้ตัวว่า ไม่รู้” หรือว่า “ไม่รู้ตัวว่า ตนไม่สามารถ”


ขั้นตอนที่สอง consciously unskilled “เราก็เริ่มรู้ตัว ว่าเราไม่รู้” คือเริ่มเห็นข้อจำกัดของตัวเอง เมื่อเราผ่านเปลี่ยนจากความหลับใหลไปสู่ความตื่นรู้ เราก็เริ่มตระหนัก และมองเห็นข้อจำกัดของตัวเอง


ขั้นตอนที่สาม consciously skilled ตอนนี้เป็นตอนฝึกฝน เป็น mental rehearsal หรือการซักซ้อมทางจินตนาการ พร้อม ๆ ไปกับการปฏิบัติจริงในสนามจริง ไม่ว่าอะไรก็ตาม จะเป็นการฝึกการเล่นสกี หรือเล่นเปียโน หรือเปลี่ยนวงสวิงกอล์ฟ หรือ ฝึกการตื่นรู้เพื่อออกจากพฤติกรรมบางอย่าง เพื่อสร้างพฤติกรรมใหม่ก็ตาม มันต้องตื่นรู้ทุกขณะจิต เพื่อตระหนัก และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ สร้างวงจรสมองอย่างใหม่ขึ้นมา เกอเธว่า มันเป็นการสร้างอวัยวะแห่งการรับรู้ใหม่ ขึ้นมาเพื่อจะเรียนเรื่องใหม่ มิฉะนั้น ก็ไม่อาจเข้าใจ เข้าถึงเรื่องใหม่ที่ว่านั้นได้


ขั้นตอนที่สี่ unconsciously skilled เมื่อฝึกขั้นตอนที่สามไปเรื่อย ๆ อย่างตั้งอกตั้งใจ และตื่นรู้ รู้ตัวตลอด จิตตื่นโพลง ทำซ้ำ ๆ ๆ ๆ จนกระทั่ง มันค่อย ๆ ประสาน ความคิด อารมณ์ และร่างกาย ร่างกายของเราก็จะเริ่มจดจำได้ อย่างเป็นอัตโนมัติ จนกระทั่งเราทำสิ่งนั้นได้โดยไม่ต้องคิด อย่างเช่นการปรับเปลี่ยนเกียร์รถแบบแมนนวล โดยที่เราไม่ต้องคิดเลย เป็นธรรมชาติ หรือเล่นสกีไปได้อย่างไม่ต้องคิดเลย เป็นธรรมชาติ มีจิตตื่นรู้อย่างไม่ต้องคิดเลย เหมือนกับสุซุกิ ไดเซต ไตตาโร ใช้คำว่าunconsciously conscious หรือ consciously unsconscious เราก็เริ่มปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันได้ตลอดเวลา


เขียนมาถึงตอนนี้ ผมว่า ถ้าจะทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง อาจจะต้องเขียนลงสักสามสี่ตอนกระมังแต่อย่างไรเสีย ของดี ก็น่าจะให้ได้ชิมลางเสียก่อนจะดีกว่าไม่ได้สัมผัสเสียเลยนะครับ


วิศิษฐ์ วังวิญญู